Tel +66 (0) 2-656-0208
EN
  • TH
Skin Solution

แผลหลุมสิวรักษาได้อย่างไร ?

แผลหลุมสิวรักษาได้อย่างไร ?

วิธีการรักษาแผลหลุมมีอยู่ 3 วิธีหลักคือ การทายา การฉีดสารเติมเต็ม และการปรับสภาพผิวด้วยเลเซอร์ วิธีการรักษาโดยการทายา เป็นวิธีเบื้องต้นซึ่งผู้ป่วยสามารถรักษาตัวเองได้ แต่เป็นวิธีที่อาจจะได้ผลน้อยที่สุด เหมาะสำหรับแผลหลุมที่เพิ่งเป็นใหม่ ๆหรือแผลหลุมตื้น ๆ หรืออาจใช้ในผู้ป่วยเด็ก หรือผู้ป่วยที่กลัวอาการเจ็บจากวิธีการรักษาอื่น ๆ ยาทาที่มีส่วนประกอบหลักเป็นกรดเรติโนอิคหรือกรดวิตะมินเอ เป็นยาทาที่นับว่าได้ผลดีที่สุด ยาทาประเภทนี้มีฤทธิ์ในการกระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจขึ้นที่ผิวหนัง แต่ต้องทาติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 3-4 เดือนจึงจะเริ่มเห็นผล ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดผื่นแดง ผิวแห้ง เนื่องจากการระคายเคืองจากผลของการทายา

การฉีดสารเติมเต็ม

การฉีดสารเติมเต็ม หรือสารที่เรียกว่า “ฟิลเลอร์” (Filler) เป็นอีกวิธีหนึ่งให้การรักษาสภาพผิวหนังที่เป็นหลุมหรือเป็นร่องลึก ในปัจจุบันสารที่นิยมใช้สำหรับฉีดคือสารประกอบของกรดไฮยารูโลนิค (Hyaluronic acid) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติคล้ายเนื้อเยื่อของหนังแท้ การฉีดสารเติมเต็มเข้าใต้แผลหลุมจะช่วยดันก้นหลุมให้ตื้นขึ้น สารพวกนี้ส่วนใหญ่จะค่อย ๆสลายตัวไปหมดในเวลา 6-9 เดือน

การกรอผิวปรับสภาพ

วิธีการปรับสภาพผิวของแผลหลุมให้ดูเรียบขึ้นมีหลายวิธี เช่น การกรอด้วยเกล็ดอัญมณี การลอกผิวด้วยกรด และการใช้เลเซอร์ การกรอด้วยเกล็ดอัญมณีเหมาะสำหรับแผลหลุมตื้น ๆ ส่วนการลอกผิวด้วยกรดมักได้ผลไม่แน่นอน ขึ้นกับชนิดของกรด และทักษะของแพทย์ผู้ทำการรักษา ในบรรดาวิธีการปรับสภาพผิวทั้งสามวิธีนี้ การปรับสภาพผิวด้วยเลเซอร์นับเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด

ปรับสภาพผิวให้เรียบด้วยเลเซอร์

จากรายงานผลวิจัยทางการแพทย์ที่ตีพิมพ์ออกมาต่อเนื่องกว่าสิบปียืนยันว่าเลเซอร์สามารถกรอปรับสภาพพื้นผิวของแผลหลุมให้เรียบขึ้น และยังสามารถกระตุ้นให้ผิวสร้างเส้นใยคอลลาเจนใหม่เพื่อดันก้นหลุมให้ตื้นขึ้น ในปัจจุบันผลการรักษาแผลหลุมด้วยเลเซอร์เป็นที่น่าพอใจและมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงน้อยหากได้รับการรักษาที่มาตรฐานโดยแพทย์ผู้ชำนาญ

เลเซอร์ปรับสภาพผิวมีกี่ชนิด

เลเซอร์ปรับสภาพผิวมีอยู่ 3 ระบบได้แก่ เลเซอร์ปรับสภาพผิวชนิดมีแผล ชนิดไม่มีแผลและชนิดแผลน้อย ในปัจจุบันเลเซอร์ปรับสภาพผิวชนิดมีแผลไม่เป็นที่นิยมถึงแม้ว่าเลเซอร์ระบบนี้จะให้ผลการรักษาที่ดีที่สุดในบรรดาเลเซอร์ทั้ง 3 ระบบ เพราะเลเซอร์ชนิดนี้ทำงานโดยการกรอผิวชั้นบนออกเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างผิวใหม่ขึ้นมา หลังเลเซอร์ผู้ป่วยจะมีแผลบวมแดง และอาจมีน้ำเหลืองไหลซึมในระยะ 2-3 วันแรก ใช้เวลาสมานแผลประมาณ 1-2 สัปดาห์ นอกจากนี้ผู้ป่วยยังต้องเสี่ยงกับโอกาสการเกิดผลข้างเคียงหลังการรักษา เช่น รอยคล้ำ รอยด่างขาว และผิวติดเชื้อ เลเซอร์ปรับสภาพผิวชนิดไม่มีแผลทำงานโดยการส่งแสงเพื่อให้พลังงานความร้อนที่ชั้นหนังแท้เพื่อกระตุ้นให้ผิวสร้างเส้นใยคอลลาเจนใหม่ ข้อดีของเลเซอร์ระบบนี้คือการที่ไม่มีแผลหลังเลเซอร์แต่เป็นระบบที่ให้ผลการรักษาน้อยที่สุด เลเซอร์ปรับสภาพผิวชนิดแผลน้อยหรือเลเซอร์ปรับสภาพผิวเป็นส่วน ๆ เป็นระบบที่พัฒนามาล่าสุด เลเซอร์ชนิดนี้จะให้พลังงานแสงที่เข้มข้นเจาะผ่านหนังกำพร้าไปยังหนังแท้ทำให้เกิดรูเล็ก ๆ ขนาด 0.1-0.2 มิลลิเมตรต่อเนื่องกันเป็นพันจุดในพื้นที่ 1 ตารางเซนติเมตร ซึ่งมองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น เพื่อทำให้ความร้อนไปยังชั้นชั้นหนังแท้ ความร้อนจะกระตุ้นให้หนังแท้สร้างเส้นใยคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ซึ่งเส้นใยคอลลาเจนที่สร้างขึ้นมานี้จะช่วยดันบริเวณก้นของแผลหลุมให้ตื้นขึ้นมา การทำงานของเครื่องเลเซอร์ถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ส่งพลังงานแสงไปยังหนังแท้อย่างแม่นยำ ชั้นหนังกำพร้าที่อยู่บริเวณด้านนอกจะได้รับความร้อนน้อยมาก จึงแทบจะไม่เห็นแผลหลังการรักษา ผิวหนังหลังการรักษาจะบวมแดงเล็กน้อยประมาณ 1-2 วัน หลังจากนั้นผิวจะกลายเป็นสะเก็ดบาง ๆ ซึ่งจะหลุดลอกหมดภายในระยะเวลา 3-4 วัน จำนวนครั้งของการรักษาประมาณ 2-3 ครั้งทุก 1-2 เดือน ขึ้นกับสภาพของริ้วรอยและความลึกของแผลหลุม โดยส่วนใหญ่จะสังเกตได้ว่าผิวและแผลหลุมค่อย ๆ ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ภายใน 3-6 เดือน

เจ็บแค่ไหน

ความรู้สึกระหว่างการรักษาจะคล้ายเข็มที่มีความร้อนเล่มเล็ก ๆหลาย ๆทิ่มลงที่ผิวหนัง การใช้ยาชาชนิดครีมทาทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีก่อนการรักษาจะช่วยลดอาการเจ็บระหว่างการทำเลเซอร์ได้เป็นอย่างดี

เลเซอร์ปรับสภาพผิวได้ผลดีแค่ไหน

สิ่งที่ทุกท่านที่มีแผลหลุมสิวคาดหวังไว้คือการมีผิวเรียบเนียนดังเดิม แต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นการรักษาชนิดใด ๆ ก็ไม่สามารถแผลหลุมหายเรียบสนิทร้อยเปอร์เซ็นต์  เลเซอร์ปรับสภาพผิวชนิดแผลน้อยหรือเลเซอร์ปรับสภาพผิวเป็นส่วน ๆ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน อาจทำให้สภาพผิวโดยรวมเรียบขึ้นมากที่สุดไม่เกิน 70 เปอร์เซ็นต์ภายหลังการรักษาต่อเนื่องกัน 5 ครั้ง ทั้งนี้ผลการรักษายังขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของแผลหลุม แผลหลุมที่ลึกมากหรือเป็นมาเป็นเวลานานจะได้ผลการรักษาน้อยกว่าแผลหลุมตื้น ๆ ที่เพิ่งเริ่มปรากฏ

ผลการการรักษาเห็นได้เร็วแค่ไหน

หลักการการทำงานหลักของเลเซอร์ปรับสภาพผิวชนิดแผลน้อยหรือเลเซอร์ปรับสภาพผิวเป็นส่วน ๆ คือการกระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจขึ้นมาไหม้เพื่อดันก้นหลุมให้ตื้นขึ้น โดยปกติการสร้างเส้นใยคอลลาเจนจะเริ่มต้นประมาณสัปดาห์ที่ 2-3 หลังการรักษา จากการศึกษาผลการรักษาแผลหลุมสิวด้วยวิธีเลเซอร์ปรับสภาพผิวเป็นส่วน ๆ ที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พบว่าแผลหลุมหลังการรักษาจะค่อย ๆ ตื้นขึ้นจนสังเกตได้ที่ประมาณ 1 เดือนหลังการรักษา และผิวจะเรียบขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือนที่ 6 หลังหยุดการรักษา

หลังการรักษาผิวจะเรียบตลอดไปหรือไม่

ผิวที่เรียบขึ้นหลังการรักษาด้วยเลเซอร์จะคงสภาพอยู่ตลอดไป ยกเว้นท่านมีสิวหรือเกิดแผลใหม่ที่ก่อให้เกิดผลหลุมใหม่ขึ้นมา

ข้อคิดทิ้งท้าย

สาเหตุที่ก่อให้เกิดแผลหลุมที่พบบ่อยได้แก่ สิวและโรคสุกใส การดูแลรักษาที่ไม่ถูกต้อง ไม่ทันเวลา และการบีบ แกะ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดรอยหลุม และรอยคล้ำตามมา วิธีการรักษาแผลหลุมที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถปรับสภาพผิวให้เรียบขึ้นในระดับหนึ่งเท่านั้น ยังไม่มีวิธีการรักษาใด ๆ ที่สามารถทำให้ผิวกลับเรียบเนียนโดยไร้ร่องรอย ดังนั้นการระวังรักษาผิวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแผลหลุมดูจะคุ้มและยุ่งยากน้อยกว่าการคอยตามรักษาแผลหลุมที่เกิดขึ้นมาแล้วเป็นแน่

 

 

ขอขอบคุณบทความจาก ศ.นพ.วรพงษ์ มนัสเกียรติ
หนังสือ สวยด้วยเลเซอร์ สำนักพิมพ์อมรินทร์พริ๊นติ้ง